ประเทศไทยมีการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขทรงมีพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์แต่เพียงประ
องค์เดียว ทรงใช้อำนาจทั้งในด้านนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ
และทรงแต่งตั้งข้าราชการ
ขุนนางไปปกครองหัวเมืองต่างๆในที่นี้อาจกล่าวได้ว่าพระมหากษัตริย์ในระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ทรงอยู่เหนือรัฐธรรมนูญและกฎหมายใดๆ
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ตรากฎหมาย ทรงตัดสินและพิจารณาอรรถคดี
ทรงบริหารประเทศ ดังนั้นประชาชนจึงต้องปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ
ใครผ่าผืนไม่ได้
พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจสูงสุดและประชาชนต้องปฏิบัติตาม
ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยได้มีรูปแบบ การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ๔
สมัย ดังนี้ คือ
๑.๒.๑ สมัยอาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ. ๑๘๐๐-๑๙๒๑)
๑.๒.๒ สมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๓๑๐)
๑.๒.๓ สมัยอาณาจักรกรุงธนบุรีและ สมัยอาณาจักรรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕)
๑.๒.๔ สมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และการเปลี่ยนแปลง
การปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ในที่นี้จะอธิบายวิวัฒนาการทางการเมืองการปกครองของไทยโดยสรุป คือ
๑.๒.๑ สมัยอาณาจักรสุโขทัย (พ.ศ.๑๘๐๐-๑๙๒๑)
ประวัติอาณาจักสุโขทัยพอสังเขป
ก่อนที่จะตั้งอาณาจักรสุโขทัยนั้นดินแดนบริเวณ
ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยายังอยู่ในอำนาจของกษัตริย์ขอมซึ่งแผ่อำนาจมาถึง
ละโว้(ลพบุรี)และลำพูน
แต่ต่อมาเกิดกบฏหลายแห่งทำให้ละโว้ได้เป็นเอกราชระยะหนึ่ง
ต่อมาพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ( พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๖๑) ตีเมืองต่างๆ
คืนรวมทั้งสุโขทัย แต่ก็ทรงยกธิดาพร้อมทั้งพระขรรค์ชัยศรี
แก่พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราด โอรสพ่อขุนศรีนาวนำถมผู้ครองอาณาจักรเชลียง (
ปัจจุบันคืออำเภอสวรรคโลกในจังหวัดสุโขทัย)
พร้อมทั้งตั้งให้เป็นใหญ่มีนามว่า “ศรีอินทรบดินทราทิตย์”
และจากนั้นพ่อขุนผาเมืองได้ร่วมกับพระสหายคือ
พ่อขุนบางกลางหาวเข้าตีเมืองต่างๆรอบสุโขทัยได้แล้วจึงเข้าตีเมืองสุโขทัย
ซึ่งมีผู้ปกครองชื่อขอมสบาดโขลญลำพง เมื่อราวปีพ.ศ. ๑๗๘๑-๑๗๙๒
เมื่อได้รับชัยชนะจากขอมสบาดโขลญลำพง
และได้สุโขทัยแล้วจากนั้นเหล่าขุนนางก็อภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวเป็น
“พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” เมื่อแรกตั้งสุโขทัยเป็นอาณาเขตนั้น
สุโขทัยยังคับแคบมีพื้นที่เพียงเมืองเชลียง เมืองแพร่
ทางใต้คงลงมาถึงเมืองพระบางที่ปากน้ำโพ ทางตะวันตกเฉียงเหนือเพียงเมืองตาก
ในช่วงเวลานั้น ขุนสามชนเจ้าเมืองฉอดไม่ยอมอยู่ในอำนาจจึงยกทัพมาตีเมืองตาก
กองทัพพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เสียท่า
แต่พระโอรสองค์น้อยเข้าชนช้างชนะขุนสามชน พวกเมืองฉอดจึงแตกพ่ายไป
ต่อมาพ่อขุนบานเมืองเสวยราชย์ต่อจากพระบิดาจนสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. ๑๘๒๒
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ครองราชย์ต่อมาจนถึง ปีพ.ศ. ๑๘๔๑
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ขยายพระราชอาณาเขตออกไปกว้างขวาง ดังปรากฏใน
ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่าทางทิศตะวันออกได้เมืองสระหลวง สองแคว(พิษณุโลก)
ถึงฝั่งโขง เวียงจันทน์ และเวียงคำ ทิศใต้ ได้เมืองคณฑี(กำแพงเพชร)
พระบาง(นครสวรรค์) แพรก(ชัยนาท) สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี
นครศรีธรรมราชจนสุดฝั่งทะเล ทิศตะวันตกได้เมืองฉอด หงสาวดี
ถึงฝั่งมหาสมุทร ทิศเหนือได้เมืองแพร่ เมืองน่าน
เมืองพลั่ว(ปัว)เลยฝั่งโขงไปถึงเมืองชวา (หลวงพระบาง)
ต่อมากรุงสุโขทัยเริ่มเสื่อมลงในสมัยพระยาเลอไทย พระยาลิไทย
เคยปรากฏว่าต้องยอมเป็นเมืองขึ้นของอยุธยาอยู่สิบปี ระหว่างพ.ศ. ๑๙๒๑-๑๙๓๑
แต่ในช่วงรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ ๓ (พระยาไสยลือไทย)
กลับเข้มแข็งขึ้นแต่เมื่อทรงสวรรคตก็เกิดการชิงราชสมบัติ
สมเด็จพระนครินทรธิราชต้องขึ้นไปห้ามปรามและตั้งพญาบรมปาลเป็นเจ้าเมืองขึ้น
ต่ออยุธยาจนสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๑๙๘๑ จึงสิ้นราชวงศ์พระร่วง
ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
หรือราชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจ
อธิปไตย
ซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองและทรงใช้อำนาจนี้ในการออกกฎหมายเรียกว่า
อำนาจนิติบัญญัติ ทรงบริหารกิจการบ้านเมือง เรียกอำนาจนี้ว่า
อำนาจบริหารราชการแผ่นดิน และ
ทรงพิจารณาอรรถคดีทรงพิพากษาและตัดสินคดีความต่างๆ
ทุกวันธรรมะสาวนะด้วยพระองค์เอง เรียกอำนาจนี้ว่าอำนาจตุลาการ
จะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนี้เพียงพระองค์เดียว
และทรงใช้อำนาจบนพื้นฐานของหลักธรรม ประชาชนอยู่ร่มเย็นเป็นสุข
ในสมัยอาณาจักรสุโขทัยมีลักษณะการปกครองโดยใช้คตินิยมในการปกครองแบบครอบ
ครัวหรือพ่อปกครองลูก มาเป็นหลักในการบริหารประเทศ คติการปกครอง
สมัยอาณาจักรสุโขทัยเรียกว่าการปกครองแบบพ่อปกครองลูก
หรือการปกครองแบบบิดาปกครองบุตรโดยในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์ใกล้ชิดกับ
ประชาชนมาก ประชาชนต่างก็เรียกพระมหากษัตริย์ที่ใกล้ชิดประชาชนว่า “พ่อขุน”
รูปแบบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ในสมัยอาณาจักรสุโขทัยมีลักษณะเด่นที่สำคัญๆ ดังต่อไปนี้
๑.
พ่อขุนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยโดยมีรูปแบบปกครองประชาชนบนพื้นฐานของความรัก
ความเมตตาประดุจบิดาพึงมีต่อบุตร
บางตำราอธิบายว่าเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูกหรือแบบปิตุราชาประชาธิปไตย
๒. พ่อขุนอยู่ในฐานะผู้ปกครองและประมุขของประเทศที่มีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว
หรืออำนาจอธิปไตยอยู่ที่พ่อขุน
๓. ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการดำเนินชีวิตพอสมควร ดังจะเห็นได้จากศิลา
จารึกอธิบายว่า “......ใครใคร่ค้า ค้า เอาม้ามาค้าเอาข้าวมาขาย....”
จากหลักศิลาจารึกจะทำให้เห็นว่าอาณาจักรสุโขทัยให้โอกาสประชาชนในการดำเนิน
ชีวิตพอควร
อาจกล่าวได้ว่าผู้ปกครองและผู้อยู่ภายใต้การปกครองมีฐานะเป็นมนุษย์เหมือน
กัน นอกจากให้เสรีภาพทางเศรษฐกิจแล้วยังไม่เก็บภาษีด้วย
“เจ้าเมืองบ่เอาจังกอบ ในไพร่ลู่ทาง...”
๔. รูปแบบการปกครองเป็นไปแบบเรียบง่ายไม่มีพิธีอะไรมากมายนัก อยู่แบบเรียบง่าย
ไม่มีสถาบันการเมืองการปกครองที่สลับซับซ้อนมาก
และรูปแบบการเมืองการปกครองเป็นไปแบบให้บริการมากกว่าการสั่งการ
การควบคุมหรือการใช้อำนาจเป็นไปอย่างเหมาะสม
๕. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครอง คือ พ่อขุนและผู้อยู่ใต้การปกครองคือประชาชน
เป็นไปอย่างแน่นเฟ้น ไม่มีพิธีรีตองมากนักเหมือนบุคคลในครอบครัวเดียวกัน
๖. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับประชาชนผู้อยู่ภายใต้การปกครองอยู่ในฐานะที่
เท่าเทียมกัน ต่างก็อยู่ในฐานะเป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่ทำหน้าที่ที่ต่างกันเท่านั้น
๗. มีการพิจารณาคดีโดยใช้หลักประกันความยุติธรรม
เช่นเมื่อพลเมืองผิดใจเป็นความกันจะมีการสอบสวนจนแน่ชัดจึงตัดสินโดย
ยุติธรรม ในศิลาจารึกเขียนไว้ว่า “ลูกเจ้าลูกขุนแลผิดแผกแสกกว้างกัน
สวนดูแท้แลจึ่งแล่งความแก่ข้าด้วย ซื่อ บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน....”
๘. ทรงปกครองบ้านเมืองแบบเปิดเผยบนพระแท่นในวันธรรมดา
ส่วนวันพระหรือวันโกนก็ทรงจัดให้พระมาเทศน์ เช่น “...ผิใช่วันสูดธรรม
พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองศรีสัชชนาลัยสุโขทัยขึ้นนั่งเหนือขนาดหินให้ฝูงท่วย
ลูกเจ้าลูกขุน ฝูงท่วยถือบ้านถือเมืองคัล”
นอกจากพ่อขุน
จะทรงวางรากฐานทางการปกครองแล้วในสมัยสุโขทัยยังทรงประดิษฐ์อักษรไทยเปิด
โอกาสให้คนได้เรียนรู้ภาษา
รู้ธรรมและในบางสมัยกษัตริย์ของอาณาจักรสุโขทัย
ก็ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์แบบธรรมราชา การปกครองจึงมีรูปแบบธรรมราชาด้วย
เช่น หลังจากที่
พ่อขุนรามคำแหงได้นครศรีธรรมราชไว้ในอำนาจก็ได้มีการนำพระพุทธศาสนาลัทธิ
ลังกาวงศ์มาเผยแผ่มากขึ้นและเป็นผลให้แนวความคิดในการปกครองเปลี่ยนจากปิตุ
ราชาธิปไตย มาเป็นแบบธรรมราชาธิปไตย
[1]
โดยพระเจ้าแผ่นดินตั้งแต่ พ.ศ.๑๘๙๐ ก็เริ่มใช้พระนามว่าพระมหาธรรมราชาที่ ๑
ถึงที่ ๔ อันเป็นสมัยที่ขึ้นแก่อยุธยาและจบราชวงศ์พระร่วงเมื่อพ.ศ.๑๙๘๑
หลักการของระบอบธรรมราชาธิปไตย คือ
ความเชื่อที่ว่าพระราชอำนาจของกษัตริย์จะ ต้องถูกกำกับด้วยหลักธรรมะ
ประชาชนจึงจะอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อสิ้นพระชนม์ก็จะได้ไปสู่สวรรค์
จึงเรียกว่า สวรรคต ธรรมสำคัญที่กำกับพระราชจริยวัตรคือ ทศพิธราชธรรม ๑๐
ประการ และจักรวรรดิวัตร ๑๒ ประการ
และมีหลักการปกครองปรากฏในไตรภูมิพระร่วงที่พระมหาจักรพรรดิราชจะใช้สั่งสอน
ท้าวพระยาทั้งหลายให้ปฏิบัติตามอีกมาก
เป็นที่น่าสังเกตว่าการปกครองแบบธรรมราชาธิปไตยน่าจะทำให้ประเทศชาติมั่นคง
กว่า ราชาธิปไตย
แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แต่การไม่พยายามออกไปสู้รบและแผ่ขยายอาณาเขตหรือไม่
บำรุงกำลังรบให้เข้มแข็งเพื่อป้องกันประเทศอาจทำให้อ่อนแอลง
ดังปรากฏในปลายราชวงศ์พระร่วงหรืออย่างสมัยพระเจ้าจักรพรรดิ์และพระเจ้า
อุทุมพรแห่งอยุธยา หรือประเทศธิเบต ที่ถือนิกายวัชรญาณเคร่งครัด
แต่ถ้าวิเคราะห์อย่างละเอียดอาจพบว่าเป็นเพราะพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ใช้หลัก
ธรรมอย่างครบถ้วนและเหล่าลูกหลานขุนนางแย่งชิงราชสมบัติฆ่าฟันกันเองจึงเป็น
สาเหตุที่ทำให้ประเทศอ่อนแอ
การจัดระเบียบการปกครองในสมัยสุโขทัย
ในสมัยสมเด็จพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงจัดระเบียบการปกครองอาณาจักรกรุง
สุโขทัยโดยแบ่งลักษณะอาณาจักรหรือเมืองออกเป็นชั้นๆ
โดยถืออาณาจักรกรุงสุโขทัยเป็นศูนย์กลางและได้แบ่งการปกครองออกเป็น ๔
ชั้นดังนี้คือ
ชั้นที่ ๑ ได้แก่ เมืองหลวงหรือราชธานี หมายถึงอาณาจักรสุโขทัย
เป็นศูนย์กลางในการปกครองประเทศมีอำนาจเด็ดขาดครอบคลุมออกไปถึงเมืองอุปราช
และเมืองลูกหลวงหรือเมือง หน้าด่าน
อำนาจการสั่งการทั้งหมดอยู่ที่อาณาจักรสุโขทัย
ชั้นที่ ๒ ได้แก่เมืองอุปราชหรือเมืองลูกหลวงหรือเมืองหน้าด่านหมาย
ถึง เมืองที่ตั้งอยู่รายรอบสี่ทิศรอบๆ อาณาจักรสุโขทัย
ซึ่งเมืองหน้าด่านแต่ละเมืองมีระยะห่างจากเมืองหลวง
โดยใช้ประมาณจากการเดินทางโดยทางเท้าใช้เวลาไม่เกินสองวัน
เมืองหน้าด่านหรือเมืองอุปราชเป็นเมืองที่สร้างขึ้นเพื่อฝึกหัดให้เชื้อพระ
วงศ์ที่มีความสามารถ มีความชำนาญในการปกครองบ้านเมือง
และเมืองอุปราชก็ใช้ในแง่ของเมืองยุทธศาสตร์โดยใช้เป็นเมืองหน้าด่านของ
เมืองหลวงหรือราชธานีอีกด้วย ตัวอย่างเช่น เมืองสองแคว (
ปัจจุบันคือจังหวัดพิษณุโลก ) อยู่ทิศตะวันออก เมืองศรีสัชนาลัย
อยู่ทางเหนือของเมืองสุโขทัย เมืองพระหลวง ( ปัจจุบันคือจังหวัดพิจิตร)
อยู่ทางใต้และเมือง ชากังราว ( ปัจจุบันคือเมืองกำแพงเพชร
)อยู่ทางทิศตะวันตก เป็นต้น
ชั้นที่ ๓ ได้แก่ เมืองพระยามหานคร หมายถึงเมืองใหญ่ ๆ
ที่ตั้งอยู่ห่างราชธานีออกไปและมีประชาชนในเมืองเป็นคนไทยพระมหากษัตริย์จะ
ทรงแต่งตั้ง ให้เจ้านายหรือเชื้อพระวงศ์
หรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปปกครอง เมืองพระยามหานคร
จัดว่าเป็นหัวเมืองชั้นนอก เช่น อู่ทอง ราชบุรี เพชรบุรี ตะนาวศรี
เพชรบูรณ์ เป็นต้น
เมืองพระยามหานคร
[2]เป็น
เมืองชั้นนอกเป็นเมืองที่อยู่ไกลราชธานี
เมืองพระยามหานครปกครองโดยเจ้าเมืองซึ่งมักสืบเชื้อสายกัน
ความสำคัญของเมืองพระยามหานครอยู่ที่เป็นเมืองกันชน โดยเฉพาะเมืองเอก เช่น
พิษณุโลก นครศรีธรรมราช เป็นด่านกั้นข้าศึก
ชั้นที่ ๔ ได้แก่ เมืองประเทศราชหรือเมืองออกหรือเมืองขึ้นหมาย
ถึง ประเทศที่ยอม
อ่อนน้อมต่ออาณาจักรกรุงสุโขทัยเป็นเมืองที่เข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารโดย
การส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองมาให้
รวมไปถึงถวายเครื่องราชบรรณาการเป็นประจำทุกปีหรืออาจทุกสามปี
โดยเมืองเหล่านี้ยังปกครองกันเอง
ให้เจ้าเมืองหรือราชวงศ์ของเมืองนั้นๆทำการปกครองกันเอง
แต่ในยามที่มีศึกสงครามเมืองประเทศราชหรือเมืองขึ้นก็ต้องส่งกองทัพมา
ช่วย หรืออาจส่งเสบียง อาหาร เครื่องยุทธ์และปัจจัยต่างๆ
ที่จำเป็นแก่อาณาจักรกรุงสุโขทัย
สำหรับเมืองประเทศราชของอาณาจักรกรุงสุโขทัยได้แก่ เมืองนครศรีธรรมราช
เมืองทวาย เมืองเวียงจันทน์ น่าน หลวงพระบาง มะละกา ยะโฮ ทะวาย เมาะตะมะ
และหงสาวดี เป็นต้น
อำนาจการเมืองการปกครองของอาณาจักกรุงศรีอยุธยาอยู่ที่การสามารถปกครอง
หน่วย การปกครองทั้งสามส่วน
ซึ่งจุดทุกจุดจะพุ่งกลับไปสู่ระบบการเมืองแบบรวมศูนย์ที่เมืองหลวงและสถาบัน
พระมหากษัตริย์หรือรัฐบาลกลางและเพื่อเป็นฐานสำคัญของอำนาจทางการเมือง
นอกจากนี้อยุธยายังมีการจัดระบบเศรษฐกิจและสังคมที่สอดคล้องกับการปกครองและ
ระบบการเมือง
[3]
การปกครองสมัยสุโขทัยก่อให้เกิดการพัฒนาระบบแนวคิดทางการเมือง ดังนี้ คือ
๑. การปกครองแบบบิดาปกครองบุตร
ทำให้ผู้ปกครองกับผู้ที่อยู่ภายใต้การปกครองมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
ปัญหาต่างๆ จึงไม่ค่อยมีในแง่ของการบริหารการปกครอง
เมื่อประชาชนเดือดร้องก็สามารถแก้ปัญหาและให้ความยุติธรรมได้
๒. เป็นการวางรากฐานเรื่องสิทธิและเสรีภาพให้กับประชาชน ในสมัยนั้นและต่อๆมา
๓. พ่อขุนสามารถใช้อำนาจอธิปไตยอยู่บนพื้นฐานของหลักธรรม
ช่วยประชาชนทุกคนโดยเสมอกันแก้ปัญหาพื้นฐานของประชาชนได้
ก่อให้เกิดความสามัคคีภายในประเทศ
วิถีชีวิตของประชาชนอยู่อย่างเป็นสุขดังคำกล่าวที่ว่า ในน้ำมีปลา
ในนามีข้าว ใครจะประกอบอาชีพใดก็สุด แก่ความสามารถของตนเองต้องการ
เท่ากับมีการประกันความเสมอภาคโดยทั่ว บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข
พ่อขุนตั้งมั่นอยู่ในธรรมะ การปกครองยึดหลักศาสนาในการปกครอง
การปกครองในสมัยอาณาจักรสุโขทัยมีจุดเด่นที่ควรเป็นข้อคิดคือ
[4]
๑. รูปแบบการปกครองแบบพ่อลูกหรือพ่อขุน
ซึ่งกล่าวไว้ว่าเป็นของไทยแท้ดั้งเดิม
แต่ก็ไม่พบหมายความว่าไม่มีในสังคมอื่นความคิดเห็นทำนองเดียวกันนี้เป็นรูป
แบบที่ยังมีการกล่าวถึงในปัจจุบัน
๒. ลัทธิธรรมราชาหรือกษัตริย์เป็นเสมือนพระพุทธเจ้าซึ่งบ่งชี้ถึงการใช้ธรรมและเมตตาธรรมเป็นฐาน
๓. มโนทัศน์เรื่องสวรรค์นรกซึ่งทำน้าที่เป็นอุดมการณ์เพื่อการจัดระเบียบสังคมและการปกครองบริหาร
๔. เสรีภาพของประชาชนโดยเฉพาะในสามรัชกาลต้น เช่น ความอิสระในการค้าและกิจการอื่น
๕. ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างผู้ปกครอง และผู้อยู่ใต้ปกครอง โดยเฉพาะใน ๓ รัชกาลต้น
๖. ความเจริญในด้านอุสาหกรรมชามสังคโลก
๗. การประดิษฐ์อักษรไทยโดยพ่อขุนรามคำแหงทำให้มีสื่อกลางของการสื่อความหมายและบันทึกเหตุการณ์และวรรณคดี
๘. การขยายอาณาเขตโดยการใช้ความสัมพันธ์ทางการแต่งงาน
๙. การติดต่อกับจีนและการได้ช่างทำชามสังคโลกมาช่วยปรับปรุงการทำชามสังคโลกซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ
๑๐. การนิมนต์พระสงฆ์จากนครศรีธรรมราชและจากลังกา เพื่อสืบทอดศาสนาพุทธ
อาจกล่าวได้ว่าการปกครองในช่วงของอาณาจักรสุโขทัยเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูกโดยแท้จริง
๑.๒.๒ สมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. ๑๘๙๓-๒๓๑๐)
ประวัติอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาพอสังเขป
กรุงศรีอยุธยายังไม่มีข้อยุติว่า พระเจ้าอู่ทองเป็นเจ้านายสายใด
บางตำราเชื่อว่าพระเจ้าอู่ทองเป็นเชื้อสายพระเจ้าชัยสิริแห่งเมืองชัย
ปราการ(จังหวัดเชียงราย)
ซึ่งอพยพหนีทัพมอญลงมาทางภาคกลางมีลูกหลานไปครองเมืองต่างๆ ในบริเวณอโยธยา
ลพบุรี อู่ทอง สุพรรณบุรี นครศรีธรรมราช ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าสิริชัย
แห่งนครศรีธรรมราช และพระมารดาซึ่งเป็นโอรสของพระยาตรัยตรึงศ์
ผู้ครองแคว้น อโยธยา ประสูติเมื่อวันจันทร์ขึ้น แปดค่ำ เดือนห้า พ.ศ. ๑๘๕๗
( ปลายรัชกาลของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช)เมื่ออายุได้ ๑๙ ปี
ได้อภิเษกสมรสกับธิดาพระเจ้าอู่ทองผู้ครองแคว้นสุวรรณภูมิดังนั้น
เมื่อพระบิดา พระอัยกา และพระบิดาของพระชายาสิ้นพระชนม์
พระเจ้าอู่ทองจึงได้มรดกไว้ทั้งสามแคว้น เมื่อย้ายเมือง มาสร้าง ณ
กรุงศรีอยุธยาจึงมีอาณาจักรใหญ่โตรองรับ
ในแง่ของวิวัฒนาการการเมืองการปกครองอาจแบ่งได้เป็นสามยุคคือ ยุคต้น
ตั้งแต่สมัย พระเจ้าอู่ทองถึงพระเจ้าสามพระยา (พ.ศ. ๑๘๙๓-๑๙๙๑)
ยุคกลางตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถถึงพระศรีสุธรรมราชา (
พ.ศ.๑๙๙๑-๒๑๙๙)
และยุคปลายตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชถึงพระเจ้าเอกทัศน์(พ.ศ.
๒๑๙๙-๒๓๑๐)
ลักษณะการปกครองของสมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยานั้นพระเจ้าอู่ทองทรงเป็นพระ
มหากษัตริย์พระองค์แรกของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
เป็นช่วงของการก่อร่างสร้างเมืองทำให้ต้องมีผู้นำในการปกครองเพื่อรวมรวม
อาณาจักรให้แผ่ขยาย มีการติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในเรื่องการค้าและศาสนา
และในช่วงเวลานั้นมีการเผยแพร่ของลัทธิฮินดูและขอม
เข้ามาตอนกลางของประเทศไทย
ดังนั้นในสมัยนี้พระเจ้าอู่ทองทรงรับวัฒนธรรมการปกครองแบบขอม
และอินดูเข้ามาใช้ เรียกการปกครองแบบนี้ว่า
การปกครองแบบผู้ปกครองมีอำนาจสูงสุดในการปกครองตามลัทธิเทวสิทธิ์
โดยมีแนวคิด คือ
๑. พระเจ้าทรงเป็นผู้ตั้งรัฐ
๒. รัฐหรือดินแดนเกิดโดยพระเจ้าเพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงเป็นผู้ดลบันดาลให้เกิดรัฐ
๓. ผู้ปกครองรัฐมีความรับผิดชอบต่อพระเจ้าพระองค์เดียว
ในสมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ฐานะของพระมหากษัตริย์ในยุคแรกๆ นั้น จะมีความ
แตกต่างกับยุคหลังๆ กล่าวคือ ฐานะของพระมหากษัตริย์ทรงเป็นธรรมราชา
คือ พระมหากษัตริย์อยู่ในฐานะองค์อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
ทรงเป็นเจ้าชีวิตคือ
พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเหนือชีวิตของบุคคลที่อยู่ในสังคมทุกคน และ
ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน คือ
ทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินทั่วราชอาณาจักรและพระมหากษัตริย์จะทรงพระราชทานให้
ใครก็ได้ตามอัธยาศัย ต่อมาอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
ได้รับแนวคิดทางการเมืองการปกครองจากเขมรมากขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
แนวความคิดในเรื่องฐานะของพระมหากษัตริย์ก็เปลี่ยนไป
จากเดิมเป็นผู้นำรัฐเป็นพ่อปกครองลูก
แนวความคิดของขอมเชื่อว่าผู้นำหรือพระมหากษัตริย์เป็นเทวราชหรือเทวดาโดย
สมมุติ ดังนั้นคำสั่งของผู้ปกครองรัฐจึงเป็นพระราชโองการหรือเทวโองการ
ฐานะของประชาชนจึงเป็นผู้อยู่ภายใต้การปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงปกครอง
อย่างแท้จริง
และรูปแบบการปกครองเช่นนี้ทำให้เกิดระบบศักดินาขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย
นับได้ว่าเกิดการปกครองแบบนายกับบ่าว มีการแบ่งชั้นทางสังคมชัดเจน
และเกิดระบบทาสขึ้นครั้งแรกในประเทศไทยด้วย
นอกจากนี้ประเทศไทยในสมัยอยุธยายังต้องทำศึกสงครามเกือบตลอดเวลา
จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้พลเมืองในการเข้าสังกัดมูลนายมีการเกณฑ์ไพร่พล
เพื่อป้องกันประเทศ รูปแบบการปกครองจึงมีการเปลี่ยนแปลงจากสุโขทัยมาก
ลักษณะการปกครองของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยามีดังนี้ คือ
๑.
พระมหากษัตริย์ทรงมีฐานะเป็นผู้ปกครองและทรงเป็นประมุขปกครองประเทศทรงมี
อำนาจสูงสุด
และทรงใช้อำนาจอธิปไตยแต่เพียงผู้เดียวพระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นองค์อธิ
ปัตย์ทางการเมืองและเป็นองค์อธิปัตย์ในการปกครองประเทศและรัฐ
เรียกว่าเป็นระบอบราชาธิปไตย
๒. พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจสูงสุด
เพื่อสร้างความศักดิ์สิทธิ์ให้แก่พระราชอำนาจและความมั่นคงในฐานะผู้ปกครอง
ไว้
แต่พระราชอำนาจขององค์พระมหากษัตริย์ไทยในสมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาก็ถูก
จำกัดไว้หลายประการ เช่น
ทางด้านการเมือง
ในสมัยอยุธยาถือว่าบุคคลที่จะขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ได้ต้องเข้าพิธี
ปราบดาภิเษกก่อนและการเข้าพิธีปราบดาภิเษกถือว่าเป็นการขึ้นสู่ราชบัลลังก์
โดยชอบธรรมดังนั้นพระมหากษัตริย์จึงจำเป็นต้องมีกลุ่ม
หรือคณะบุคคลสนับสนุน
และให้ประโยชน์ตอบแทนกับกลุ่มบุคคลเหล่านี้โดยให้ประโยชน์ตอบแทนเป็นยศถา
บรรดาศักดิ์หรือให้ศักดินาเป็นต้นทั้งนี้ก็เพื่อการรักษาพระราชอำนาจ
ทางด้านหลักปฏิบัติประเพณีโบราณ
พระมหากษัตริย์ไม่ได้มีพระราชอำนาจมากแต่ทรงอยู่ภายใต้หลักของการปกครองที่
เป็นหลักปฏิบัติตามประเพณีโบราณ เช่น
พระมหากษัตริย์ต้องทรงปฏิบัติตามจักรวรรดิวัตร๑๒
ประการราชสังคหะวัตถุ๔ประการ อีกด้วย
ทางด้านศีลธรรม พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์พุทธศาสนา และทรงตั้งอยู่ใน
ธรรมเรียกว่าทศพิธราชธรรม ๑๐ประการ ฉะนั้นพระมหากษัตริย์จะต้องทรงประพฤติให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมอันดีงาม
๓. พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะเป็นสมมุติเทพ ตามคตินิยมของพราหมณ์ จึงต้องมี
ระเบียบพิธีการต่างๆ
มากมายแม้แต่ภาษาที่ใช้กับพระมหากษัตริย์ก็ได้บัญญัติขึ้นใช้เฉพาะกับพระมหา
กษัตริย์เท่านั้นที่เราเรียกว่าราชาศัพท์นั่นเอง
๔. เกิดระบบทาสขึ้น ทาสหมายถึง บุคคลที่ใช้แรงงาน โดยทาสในสมัยกรุงศรีอยุธยา
อนุญาตให้เสนาบดี
ข้าราชบริพารและประชาชนที่ร่ำรวยมีทาสได้และผู้ที่ใช้แรงงานเมื่อตกเป็น
ทาสก็ถือว่านายเงินเป็นเจ้าของ เจ้าของอาจซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน
หรือยกทาสให้ผู้อื่นได้ ดังนั้นการเกิดชนชั้นทางสังคม
จึงเกิดขึ้นในสมัยนี้ทำให้ประชาชนผู้อยู่ใต้การปกครองมีฐานะไม่เท่ากัน
การจัดระเบียบการปกครองสมัยกรุงศรีอยุธยา
ในสมัยพระเจ้าอู่ทองได้มีการปรับปรุงระเบียบการปกครองส่วนกลางใหม่
เรียกว่า การปกครองแบบจตุสดมภ์
เป็นแนวคิดทางการปกครองที่กรุงศรีอยุธยารับอิทธิพลมาจากขอม
โดยพระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจโดยเด็ดขาดในการปกครองมีเสนาบดี ๔
คนเรียกว่า “จตุสดมภ์” ทำหน้าที่ช่วยบริหารงานส่วนกลางประกอบด้วย
๑. ขุนเวียงหรือขุนเมือง เป็นพนักงานปกครองท้องที่และบังคับบัญชาศาล พิจารณาคดีความที่สำคัญๆ เรียกว่าแผนกว่าความนครบาล ตลอดจนมีหน้าที่ปกครองเรือนจำ
๒. ขุนวัง ทำหน้าที่รักษาพระราชมนเทียรและพระราชวังชั้นนอกชั้นใน มีอำนาจตั้งศาลชำระความ และมีหน้าที่พิจารณาตัดสินอรรถคดีทั้งหลาย
๓. ขุนคลัง
ทำหน้าที่ในการบังคับบัญชาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทางด้านการเงิน
และบังคับบัญชาศาล ชำระคดีความเกี่ยวกับพระราชทรัพย์หลวงทั้งปวง
๔. ขุนนา
มีหน้าที่ดูแลรักษานาหลวงเก็บค่าเช่าที่นาจากราษฎรเป็นผู้ทำนุบำรุงชาว
นา ทั้งปวง ไม่ให้เสียเวลาทำนา
จัดหาและรักษาเสบียงอาหารสำหรับพระนครและพระราชวังและมีอำนาจบังคับบัญชาศาล
ที่ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวข้องในเรื่องนา โค กระบือ
และระงับข้อพิพาทของชาวนา
การปกครองอาณาเขตพระเจ้าอู่ทองทรงถือเอาอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์
กลาง มีเมืองหน้าด่านชั้นในสำหรับป้องกันราชธานีทั้ง ๔ ทิศ
และมีเมืองใหญ่ๆนอกวงราชธานีไกลออกไป คือ เมืองพระยามหานคร
และเมืองประเทศราชตามลำดับ
การเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยกรุงศรีอยุธยา
การปกครองของไทยในสมัยอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในสมัยของพระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
โดยทรงโปรดให้มีการจัดระเบียบการปกครองใหม่
โดยยึดหลักการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง
และทรงแยกอำนาจของทหารออกจากอำนาจของพลเรือนออกจากกันอย่างเด็ดขาด คือ
๑. ฝ่ายทหาร
ให้ทหารมีพระสมุหกลาโหมเป็นหัวหน้ามีหน้าที่บังคับบัญชาและควบคุมราชการฝ่าย
ทหารทั่วราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
โดยตำแหน่งพระสมุหกลาโหมมีราชทินนามเป็น “เจ้าพระยามหาเสนาบดี”
๒. ฝ่ายพลเรือน ให้มีพระสมุหนายกเป็นหัวหน้า
มีหน้าที่บังคับบัญชาฝ่ายพลเรือน ทั่วราชอาณาจักร
ตำแหน่งพระสมุหนายกมีราชทินนามเป็น “เจ้าพระยาจักรี”
และให้มีเสนาบดีจตุสดมภ์ ๔
ตำแหน่งทำหน้าที่ช่วยดูแลการบริหารกิจการส่วนกลางและได้เปลี่ยนชื่อจตุสดมภ์
ใหม่คือขุนเวียงหรือขุนเมืองเรียกว่า “นครบาล” ขุนวัง เรียกว่า
“ธรรมาธิกรณ์” ขุนคลังเรียกว่า “โกษาธิบดี
” และขุนนา เรียกว่า
“เกษตราธิการ
”
ส่วนอำนาจหน้าที่ของจตุสดมภ์ก็คงเป็นไปในทำนองเดียวกันกับการปกครองแบบ
จตุสดมภ์ในยุคก่อนๆ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงจัดระเบียบการปกครองส่วนย่อยของเมืองออกไปอีก
มีการแบ่งเขตการปกครองท้องที่ภายในเมืองหนึ่งๆ
เหมือนกันหมดทั้งเมืองภายในวงราชธานีและเมืองพระยามหานคร
โดยจัดแบ่งการปกครองท้องที่ดังนี้
๑. เมือง
หรือจังหวัดในปัจจุบัน แต่ละเมืองจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นแขวง
๒. แขวง หรือเขต หรืออำเภอในปัจจุบัน แต่ละแขวงจะแบ่งออกเป็นเขตการปกครอง
เป็นตำบล
๓. ตำบล โดยตำบลหนึ่งๆจะแบ่งเขตการปกครองออกเป็นบ้าน
๔. บ้าน ได้แก่หมู่บ้านในปัจจุบัน
การปกครองเมืองประเทศราชให้ผู้ปกครองของเมืองนั้นๆดำเนินการปกครองประเทศ
กันเอง
แต่จะต้องส่งกองทัพและเสบียงอาหารไปช่วยราชการสงครามเมื่อราชธานีแจ้งไปและ
ต้องถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองและเครื่องราชบรรณาการตามที่กำหนดเวลาด้วย
ความแตกต่างระหว่างการปกครองสมัยอาณาจักกรุงสุโขทัยและอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา การปกครองของไทยในสมัยอาณาจักรกรุงสุโขทัยและอาณาจักรกรุงศรีอยุธยามีลักษณะดังนี้
๑. การปกครองของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา เป็นไปในลักษณะของคนกลุ่มน้อย คณะมี
อำนาจสูงสุดในการปกครองมีชนชั้นผู้ปกครองและผู้อยู่ใต้การปกครอง
ประชาชนมีหน้าที่เชื่อฟังคำสั่งและปฏิบัติตามคำสั่งและกฎเกณฑ์ของผู้ปกครอง
ซึ่งมีอำนาจในเวลานั้น สำหรับอาณาจักร กรุงสุโขทัย
แม้ว่าการปกครองจะอยู่ที่พ่อขุนแต่พ่อขุนก็ให้โอกาสประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ
ตามควร ใครมีทุกข์ก็สั่น กระดิ่ง ร้องฎีกาได้
๒. การปกครองของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
ให้ทหารเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง มากขึ้น
เนื่องจากมีการแย่งชิงราชสมบัติกันหลายครั้งต่อหลายครั้งจึงทำให้ผู้ที่จะ
ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ ต้องให้ความสำคัญกับทหาร
และเหล่าเสนาบดีที่จะช่วยรักษาพระราชอำนาจ
๓. เกิดระบบการรวมอำนาจที่ศูนย์กลางหรือที่ราชธานีขึ้น
และเกิดความชัดเจนในการปกครองของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาในรูปแบบสมบูรณาญา
สิทธิราชย์มากขึ้น
๔. ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับประชาชนแตกต่างกันมาก
จากลักษณะที่ใกล้ชิดกันในสมัยกรุงสุโขทัย
แต่พอมาถึงสมัยการปกครองของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
ความสัมพันธ์เริ่มห่างเหินเนื่องฐานะของผู้ปกครองเปลี่ยนไปจากเดิม
และยังเป็นผลให้เชื้อพระวงศ์และข้าราชบริพาร
ตั้งตนไปเป็นอีกชนชั้นหนึ่งที่อยู่เหนือประชาชนทั่วๆ ไป
การปกครองของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
ดำรงอยู่ได้เพราะอาศัยคำสั่งเป็นกฎหมาย
ประชาชนไม่มีสิทธิทางการเมืองการปกครองแต่อย่างไร
๕. การปกครองของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา
ยังผลให้เกิดระบบศักดินาขึ้นและมีการให้ยศถาบรรดาศักดิ์
แก่ผู้ทำประโยชน์ให้แก่ทางราชการ
ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเกิดความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม
๖. เกิดระบบทาสขึ้นในสมัยการปกครองของอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ซึ่งไม่ปรากฏในสมัยกรุงสุโขทัย นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย
๑.๒.๓ สมัยอาณาจักรกรุงธนบุรีและสมัยอาณาจักรรัตนโกสินทร์ตอนต้น
( พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๓๒๕) ดังจะอธิบายแยกเป็นสมัย ดังนี้คือ
ลักษณะการปกครองสมัยอาณาจักรกรุงธนบุรี
เนื่องจากสมัยอาณาจักรกรุง
ธนบุรี เป็นช่วงที่ประเทศไทยได้เสียกรุงให้กับพม่าครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ.
๒๓๑๐ ประเทศชาติแตกแยกกันเป็นก๊ก เป็นเหล่ายังรวมกันไม่ติด
และสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถ
ทำนุบำรุงให้คงสภาพเดิมได้อีกทั้งข้าศึกศัตรูก็รู้ลู่ทางดีและเมื่อถึงคราว
น้ำหลาก ปัญหาต่างๆ ก็ตามมามาก
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีจึงทรงย้ายมาตั้งเมืองหลวงที่กรุงธนบุรีและตลอดรัช
สมัยของพระองค์
พระองค์ท่านทรงต้องทำศึกสงครามเพื่อรวบรวมประเทศไทยให้เป็นฝึก
แผ่นและทำการกอบกู้เอกราชมาโดยตลอด ดังนั้นตลอดระยะเวลา ๑๕ ปี
พระองค์จึงไม่ได้ทรงเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองแต่อย่างไร
ดังนั้นในสมัยอาณาจักรกรุงธนบุรีนั้น
เราอาจกล่าวได้ว่ายังคงใช้รูปแบบการปกครองแบบระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่
นั่นคือ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจทั้งหมดเพียงพระองค์เดียว ได้แก่
การใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ หรืออาจกล่าวง่ายๆ
คือ
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงใช้อำนาจอธิปไตยแต่เพียงผู้เดียวเพื่อทรงรวบรวม
ประเทศให้เป็นปึกแผ่นให้คงความเป็นไทยอยู่จนทุกวันนี้
ลักษณะการปกครองสมัยอาณาจักรรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ในสมัยอาณาจักรกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้น
ประเทศไทยใช้รูปแบบการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามแนวของอาณาจักรกรุง
ศรีอยุธยา ไม่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเช่นกัน
เพราะพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเร่งในการก่อร่างสร้างเมือง
ปราบปรามข้าศึกศัตรูโดยเฉพาะพม่า
ทำให้ในเรื่องการปกครองไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
แต่พอเข้าในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๓ เรื่อยมา ก็เกิดลัทธิล่าอาณานิคมขึ้น
มีต่างชาติเข้ามาทำการค้าขายกับประเทศไทยมากขึ้นและประกอบกับประเทศไทยมี
ลักษณะเป็น รัฐกันชน (Buffer State) ทำให้เป็นที่สนใจของมหาอำนาจ
ดังนั้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์ทรงปฏิรูป
การปกครองใหม่ เพื่อให้การปกครองทันกับชาวต่างชาติและอารยะประเทศ
๑.๒.๔ ลักษณะการปกครองสมัยการเปลี่ยนแปลงการปกครองของพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๕)
สภาพการเมืองเมื่อต้นรัชกาล พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๑๖
พระราชอำนาจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จครองราชย์
ใหม่ๆ ยังคงถูกจำกัดด้วยอำนาจของขุนนางเก่า เช่น
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
การเมืองสมัยนั้นมีลักษณะแฝงของการต่อสู้เพื่อรวมอำนาจคืนมาไว้ที่สถาบันพระ
มหากษัตริย์
การต่อสู้ทางการเมืองระหว่างคนรุ่นใหม่และกลุ่มขุนนางเก่าเด่นชัดมากขึ้น
ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๔๑๖ เมื่อรัชกาลที่ ๕ ทรงเข้าพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒
จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๒๕ เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
ถึงแก่อสัญกรรม ในยุคนั้นผู้นำของสยามแบ่งเป็น ๓ กลุ่มคือ กลุ่มสยามหนุ่ม
(Young Siam) รัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นผู้นำและประกอบด้วย
พระเจ้าน้องยาเธอและขุนนางหนุ่มๆ
ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกต้องการปฏิรูปสังคมให้ทัดเทียมนานาอารยะประเทศ
พวกอนุรักษ์นิยม (Conservative Siam )
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นหัวหน้า
ประกอบด้วยขุนนางผู้ใหญ่ที่ไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงหรือรวดเร็วต้อง
การรักษาสภาพเดิมของประเพณีไว้ จะเปลี่ยนเฉพาะที่จำเป็นจริงๆ
กลุ่มสยามเก่า(Old
Siam)กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญเป็นผู้นำเป็นพวกหัวโบราณประกอบ
ด้วยขุนนางระดับต่างๆ ที่เกรงกลัวการเปลี่ยนแปลงจะมีผลกระทบฐานะและตำแหน่ง
จึงไม่สนับสนุนหรือเกี่ยวข้องกับฝ่ายใดต้องการอยู่ตามลำพัง
ต่อต้านอารยธรรมตะวันตกมากกว่ากลุ่มอนุรักษ์นิยมเมื่อรัชกาลที่ ๕
พระชนมายุครบ ๒๐
พรรษาทรงบรรลุนิติภาวะทรงเริ่มใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินได้เต็มที่
ปีพ.ศ. ๒๔๑๗
กลุ่มสยามหนุ่มเริ่มดำเนินการปฏิรูปการปกครองและพยายามขจัดอิทธิพลขุนนาง
รุ่นเก่าอาทิ การก่อตั้งหอรัฎากรพิพัฒน์
เป็นก้าวแรกของการปฏิรูปการคลังของรัฐบาล การตรากฎหมาย ๒ ฉบับคือ
พระราชบัญญัติเคาน์ซิล ออฟสเตท (ที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน)
พระราชบัญญัติปรีวีเคาน์ซิล
(ที่ปรึกษาในพระองค์)เป็นความพยายามสร้างสถาบันทางการเมืองขึ้น
เพื่อสนับสนุนการต่อสู้ เพื่อพระราชอำนาจของรัชกาลที่ ๕ ในปีพ.ศ. ๒๔๒๗
(ร.ศ.๑๐๓)มีการเคลื่อนไหวให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองของกลุ่ม
ราชวงศ์และขุนนางที่เป็นคณะทูตไทยไปยุโรปหรือที่เรียกว่า กลุ่ม
ร.ศ.๑๐๓ที่ได้เข้าชื่อถวายความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดินต่อรัชกาล
ที่ ๕ กลุ่มร.ศ.๑๐๓
มีจุดมุ่งหมายที่จะชี้ให้เห็นถึงภัยอันตรายที่จะมาถึงสยาม
เป็นภัยจากลัทธิจักรวรรดินิยมยุโรปที่แพร่หลายในเอเชีย
ฉะนั้นการจะรักษาบ้านเมืองให้พ้นภัยได้ต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวิธีการ
ปกครองให้คล้ายคลึงกับระบบการปกครองประเทศที่เจริญแล้ว
เหตุที่เป็นข้ออ้างของลัทธิจักรวรรดินิยมมี ๔ ประการดังนี้คือ
ข้อหนึ่งคืออ้างว่าชาติศิวิไลซ์หรือยุโรปต้องเข้ามาจัดการบ้านเมืองประเทศ
ที่ด้อยความเจริญโดยอ้างว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้มีความกรุณา (ยุโรป)
จะมีต่อมนุษยชาติ
(ในเอเชีย)ให้มีความสุขความเจริญและได้รับความยุติธรรมเสมอกัน
ข้อสองอ้างว่าประเทศด้อยพัฒนายังมีประสบการณ์แบบเก่าๆ
นอกจากจะกีดขวางทางเจริญของประเทศตนเองแล้วยังไปขัดขวางความเจริญของประเทศ
ชาติที่เจริญแล้ว
ข้อสามการที่รัฐบาลของประเทศเหล่านี้จัดการบ้านเมืองไม่เรียบร้อยย่อมมีผล
กระทบ กระเทือนถึงผลประโยชน์ชาวยุโรปที่ทำการค้าขาย
ในประเทศเหล่านั้นจึงเป็นเหตุผลให้ชาติยุโรปจะเข้ามาทำการเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองใหม่ ข้อสี่การที่ประเทศในเอเชีย ไม่ยอมเปิดการค้าขายกับชาติต่างๆ
ในยุโรปเป็นการหน่วงเหนี่ยวความเจริญของชาวยุโรปที่ไม่อาจเข้ามาทำการค้าขาย
ในประเทศ
และไม่สามารถจะนำเอาวัตถุดิบในประเทศด้อยพัฒนาไปป้อนอุตสาหกรรมในประเทศ
ยุโรปได้ กลุ่มร.ศ. ๑๐๓
เห็นว่าแนวทางป้องกันการขยายอิทธิพลของจักรวรรดินิยมจำเป็นต้องให้ประเทศ
ปกครองแบบ Constitution monarchy คือให้รัชกาลที่ ๕
เป็นประธานของรัฐบาลแต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่กลุ่มร.ศ. ๑๐๓
ไม่ได้ประสงค์ให้มีรัฐสภา(Parliament
)หรือไม่ประสงค์ให้ประชาชนมีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป
แต่ต้องการให้รัชกาลที่ ๕
ขยายขอบเขตของศูนย์อำนาจจากที่มีอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์
และพระราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่บางพระองค์ให้กว้างขวางกว่าเดิมคือ
ให้มอบและกระจายอำนาจการตัดสินใจทางการปกครองและบริหารประเทศให้มากกว่าเดิม
รัชกาลที่ ๕
มีความเห็นโต้แย้งกลุ่มร.ศ.๑๐๓ว่าพระองค์ไม่ใช่กษัตริย์ที่หวงอำนาจเหมือน
กษัตริย์ในยุโรปช่วงแรกของการครองราชย์ (พ.ศ. ๒๔๑๑-๒๔๑๖)
อำนาจทางการเมืองอยู่ที่ขุนนางและเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่เมื่อทรงพระชนมายุ ๒๐
พรรษา พระองค์ทรงมีอำนาจปกครองเต็มที่หลังจากนั้น ๑๐ ปี (พ.ศ. ๒๔๑๖-๒๔๒๕)
ทรงพยายามสร้างฐานอำนาจทางการเมืองแต่ข้อเสนอของกลุ่มร.ศ.๑๐๓
ส่งถึงพระองค์ในปีพ.ศ.๒๔๒๗
พระองค์เพิ่งตั้งหลักทางการเมืองได้และอยู่ในระยะเริ่มดำเนินการขั้นต่อไป
คือการเร่งรัดปรับปรุงงานบ้านเมือง
ลดอำนาจกลุ่มเสนาบดีดั้งเดิมที่เป็นคนรุ่นเก่าที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหาร
ประเทศรัชกาลที่ ๕
ทรงเห็นว่าปัญหาสำคัญและเร่งด่วนของสยามคือการปฏิรูปการบริหารประเทศ
ข้อเสนอของกลุ่มร.ศ. ๑๐๓ มีส่วนในการเร่งให้รัชกาลที่ ๕
ทรงปรับปรุงการบริหารให้รวดเร็วขึ้นดังเช่น
การส่งกรมหมื่นเทวะวงศ์วโรปการไปงานฉลองรัชกาลสมเด็จพระบรมราชินีวิกตอเรีย
ครบ ๕๐ ปี ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๓๐
และให้ไปพิจารณาแบบการปกครองของชาติต่างๆในยุโรปด้วยและได้เริ่มการปฏิรูป
การปกครองในปีพ.ศ. ๒๔๓๐ จนดำเนินการเต็มรูปในปีพ.ศ.๒๔๓๕
[5]
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่สนใจ
จะทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองตามแนวตะวันตก
จะเห็นได้จากทรงทรงพระราชโอรสและเชื้อพระวงศ์จำนวนหลายคนเดินทางไปต่าง
ประเทศเพื่อศึกษาดูงานที่เกี่ยวข้องกับ
การปกครองในรูปแบบประชาธิปไตย
อีกทั้งในระบบการเมืองการปกครองพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรง
ปรับปรุงให้มีการจัดการปกครองโดยแบ่งเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค
และมีการทดลองรูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นเป็นครั้งแรก
สำหรับการพัฒนาข้าราชการให้มีความรู้เรื่องการปฏิรูปการเมืองการปกครองก็
ดำเนินการมามิได้ขาดอีกทั้งยังเห็นความสำคัญของเรื่องการเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองมาก เช่น ทรงส่งกรมหมื่น เทวะวงศ์วโรปการ
ไปงานฉลองรัชกาลสมเด็จพระบรมราชินีวิกตอเรียครบ ๕๐ ปี ณ
ประเทศอังกฤษเมื่อปีพ.ศ. ๒๔๓๐
และให้ไปพิจารณาแบบการปกครองของชาติต่างๆในยุโรปด้วยและได้เริ่มการปฏิรูป
การปกครองในปีพ.ศ.๒๔๓๐ ดังรูปที่ ๑
รูปที่ ๑ แสดงรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จกรมพระยาเทวะวงศ์วโร
ปการเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ(ซ้ายมือ) และสมเด็จพระกรมพระยาดำรง
ราชานุภาพเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย(ขวามือ)
ที่มา สำนักเลขาธิการ.
๖๐ ปีรัฐสภาไทย. กรุงเทพมหานคร:
แอสโซซิเอทเด็ด ไฮ-คลาส กรุ๊ป
จำกัด, ๒๕๓๕.หน้า ๑๘.
ในช่วงการปกครองของกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นนั้นประเทศไทยยังคงใช้
การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามแนวของพระบาทสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ
พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ประเทศไทยเริ่มติดต่อค้าขายกับต่างชาติมากขึ้น
และเริ่มมีปัญหากดดันทางการเมืองมากมาย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเห็นความสำคัญของการปกครอง
และมีความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ให้ทันกับประเทศที่เข้ามาล่าอาณานิคมในภูมิภาคเอเชีย
โดยทำการปฏิรูปการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน เริ่มเมื่อวันที่ ๑
เมษายน ๒๔๓๕ หรือ ร.ศ. ๑๑๑ ใหม่ดังนี้คือ
๑. การปกครองส่วนกลางได้ทรงแบ่งแยกหน้าที่การปกครองส่วนกลางออก
เป็น ๑๒กระทรวงโดยให้กระทรวงมีอำนาจบริหารงานและให้อำนาจกับกระทรวง กรม
กอง เป็นผู้ดูแลมีการนำระบบบริหารราชการแบบแบ่งแยกโครงสร้างอำนาจหน้าที่
(Structural-Functionalism) มาใช้ด้วยการทบทวนหน้าที่หลักของกรมจตุสดมภ์
การบริหารราชการส่วนกลางมี ๑๒ กระทรวง คือ
๑.๑
กระทรวงมหาดไทยการบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือและเมืองลาวประเทศราชต่อมา
ได้มีการโอนการบังคับบัญชาหัวเมืองทั้งหมดให้อยู่ในความดูแลของกระทรวง
มหาดไทย
๑.๒ กระทรวงกลาโหม บังคับบัญชาหัวเมืองปักษ์ใต้ ฝ่ายตะวันตก
ตะวันออกและเมืองมาลายูประเทศราชเมื่อมีการโอนการบังคับบัญชาหัวเมืองไปให้
กระทรวงมหาดไทยแล้ว
กระทรวงกลาโหมจึงบังคับบัญชาฝ่ายทหารเพียงอย่างเดียวทั่วพระราชอาณาเขต
๑.๓ กระทรวงการต่างประเทศ(กรมท่า) มีหน้าที่ด้านการต่างประเทศ
๑.๔ กระทรวงวัง ว่าการในวัง
๑.๕ กระทรวงเมือง (นครบาล) ว่าการโปลิศและการบัญชีคนคือกรมพระสุรัสวดีและรักษาคนโทษ
๑.๖ กระทรวงเกษตราธิการ ว่าการเพาะปลูกและการค้า ป่าไม้ เหมืองแร่
๑.๗ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ดูแลเรื่องการเงิน รายได้รายจ่ายของแผ่นดิน
๑.๘ กระทรวงยุติธรรม จัดการเรื่องศาลซึ่งกระจายอยู่ตามกรมต่างๆนำมาไว้ที่แห่งเดียวกันทั้งแพ่ง อาญา นครบาล อุทธรณ์ทั้งแผ่นดิน
๑.๙ กระทรวงยุทธนาการ ตรวจตราจัดการในกรมทหารบก ทหารเรือ
๑.๑๐ กระทรวงธรรมการ จัดการศึกษา การรักษาพยาบาลและอุปถัมภ์คณะสงฆ์
๑.๑๑ กระทรวงโยธาธิการมีหน้าที่ก่อสร้างทำถนนขุดคลอง ไปรษณีย์ โทรเลข การรถไฟ
๑.๑๒ กระทรวงมุรธาธรมีหน้าที่รักษาพระราชลัญจกร
รักษาพระราชกำหนดกฎหมาย(กระทรวงมุรธาธรยุบในปีพ.ศ.๒๔๓๙โอนราชการในหน้าที่
ขึ้นอยู่ในกรมราชเลขานุการ)
การจัดการบริหารส่วนกลางเป็นการแบ่งแยกหน้าที่ไม่ให้ซ้ำซ้อนกัน และเป็นเพียง
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารมากกว่าการเปลี่ยนแปลงขอบเขตหน้าที่
และกิจกรรมที่ระบบบริหารทำอยู่ การปกครองในสมัยรัชกาลที่ ๕
จึงเป็นการปกครองที่เน้นให้รัฐมีบทบาทหลักในการรักษาความปลอดภัย
มีการรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางและการมุ่งหารายได้ด้วยการเก็บภาษีเข้าท้องพระ
คลังมากกว่าที่จะขยายขอบเขตงานของรัฐออกไปสู่กิจกรรมประเภทอื่นๆ ข้อสังเกต
คือ ดูจากงบประมาณที่แต่ละกระทรวงได้รับ
ในช่วงนั้นพบว่ากิจกรรมหลักของประเทศมีความสำคัญตามลำดับคือ ป้องกันประเทศ
การรักษาความสงบภายใน
กิจกรรมส่วนพระองค์ขณะที่งบประมาณกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงเกษตรอยู่ในระดับต่ำสุดการลงทุนของประเทศในช่วง
รัชกาลที่ ๕ เป็นการลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคม เช่น ทางรถไฟ
เพื่อตอบสนองนโยบายหลักในการรวมอำนาจมาไว้ที่ศูนย์กลาง
มีการควบคุมหัวเมืองภายนอกให้กระชับเพื่อประโยชน์ทางการเมืองในการเก็บภาษี
เข้ารัฐ
[6]
การจัดการบริหารส่วนกลางมีการจัดตั้งเสนนาบดีประจำกระทรวงต่างๆทั้ง
๑๒ กระทรวง ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทำหน้าที่บริหารราชการส่วนกลางแต่พระราชอำนาจสูงสุดยังคงอยู่ที่พระมหา
กษัตริย์ เสนนาบดีประจำกระทรวงต่างๆ ทั้ง ๑๒
กระทรวงมีหน้าที่ถวายความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ
ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรึกษาโดยมี
คณะเสนาบดีที่ทำหน้าทีในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
๒. การปกครองส่วนภูมิภาค
ได้ทรงรวบรวมหัวเมืองให้เป็นหน่วยการปกครองใหม่เรียกว่า “มณฑล”
การแบ่งส่วนความรับผิดชอบ โดยแบ่งเป็นมณฑลเทศาภิบาล เมือง อำเภอ ตำบล
หมู่บ้าน นอกจากนี้ยังทรงจัดตั้งสุขาภิบาลขึ้น
และเริ่มทดลองการกระจายอำนาจเป็น ครั้งแรก
ให้กับหน่วยการปกครองสุขาภิบาล
ในปีพ.ศ. ๒๔๓๕-๒๔๕๘
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดี
กระทรวงมหาดไทยมีการสถาปนาการปกครองระบบเทศาภิบาลและการปกครองตำบล หมู่บ้าน
เพื่อขยายบทบาทของส่วนกลางในการควบคุมกลไกการปกครองประเทศ
มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. ๑๑๖ (พ.ศ. ๒๔๔๐)
เป็นการกำหนดบทบาทในการปกครองของนายอำเภอที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ไป
ปกครอง เนื่องจากกระทรวงมหาดไทยเห็นว่า “การปกครองท้องที่”
เป็นหัวใจสำคัญต่อการปกครองในระบบเทศาภิบาล นายอำเภอ
ถือว่าเป็นตัวแทนระหว่างข้าราชการของรัฐบาลกลางระดับจังหวัด และมณฑล
กับกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่ประชาชนเลือกขึ้นมาในระดับตำบล หมู่บ้าน
นายอำเภอเป็นผู้ที่ต้องพยายามทำให้คำสั่งต่างๆ
จากสมุหเทศาภิบาลและผู้ว่าราชการเมือง(จังหวัด)เป็นผลในการปกครองตำบล
หมู่บ้าน
นอกจากนี้กฎหมายลักษณะปกครองท้องที่ยังเพิ่มบทบาทหน้าที่ในการปกครองตำบล
หมู่บ้านของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
ภายใต้การควบคุมดูแลของนายอำเภอและผู้ว่าราชการเมือง
นายอำเภอจะได้รับคำสั่งออกไปดูแลตำบล
หมู่บ้านทำรายงานส่งผู้ว่าราชการเมืองเดือนละครั้ง
นายอำเภอจะรับผิดชอบรักษาความสงบให้การปรึกษาดูแลทั้งหมดแก่กำนัน
และผู้ใหญ่บ้าน ตั้งแต่เรื่องการจดทะเบียนปศุสัตว์
การเก็บรักษาหนังสือสัญญาต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนการจัดระเบียบการปกครองตำบล
หมู่บ้านใหม่สามารถให้อำนาจของรัฐเข้าไปดูแลอย่างเข้มงวดมากขึ้น
รัชกาลที่ ๕
ทรงมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการปฏิรูปการปกครองหัวเมือง(การปกครอง
ส่วนภูมิภาค)เพื่อเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่น
ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาณาจักรสยามโดยมีพระราชประสงค์จะให้ยุบ
เมืองประเทศราชแล้วรวมเข้าเป็นหัวเมืองใน
พระราชอาณาจักรการดำเนินงานปฏิรูปนอกจากการจัดระบบการปกครองจากล่างสุดเป็น
หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ เมือง(จังหวัด)แล้วยังจัดระบบการปกครอง
มณฑลเทศาภิบาลเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการติดต่อระหว่างรัฐบาลในกรุงเทพกับหัวเมืองนอกราชธานีและมณฑลจะมีข้าหลวง
เทศาภิบาล (สมุหเทศาภิบาล)
เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดนอกจากนั้นยังประกอบด้วยข้าราชการฝ่ายต่างๆ เช่น
ข้าหลวงมหาดไทย ข้าหลวงยุติธรรม ข้าหลวงคลัง แพทย์ประจำมณฑล ดังแสดง
ในแผนที่มณฑล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
สำหรับการปกครอง ส่วนภูมิภาคโดยมีหน่วยการปกครองใหม่เรียกว่า “มณฑล”
อาจกล่าวได้ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเห็นความสำคัญอย่างจริงจังในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ดังจะเห็นได้จากการทรงปฏิรูปการเมืองการปกครองในหัวเมืองให้เป็นการปกครอง
ส่วนภูมิภาค
โดยมีการกำหนดพื้นที่การปกครองส่วนภูมิภาคโดยมีหน่วยการปกครองใหม่เรียกว่า
“มณฑล” ดังแสดงในรูปที่ ๒
รูปที่ ๒ แสดงเรื่องเขตมณฑลในสมัยรัชกาลที่ ๕
ที่มา กระทรวงมหาดไทย.
๑๐๐ ปีมหาดไทย.กรุงเทพมหานคร:
กระทรวงมหาดไทย, ๒๕๓๔,หน้า ๙๖.
ระบบเทศาภิบาลเป็นการปกครองส่วนภูมิภาค
ที่มีการตั้งสาขาของกระทรวงใหญ่ ในกรุงเทพฯ
รับหน้าที่ดูแลกิจการของตนในส่วนภูมิภาค
การจัดระเบียบการปกครองหัวเมือง คือ
ท้องที่หลายอำเภอรวมกันเป็นหนึ่งหัวเมืองแต่ละหัวเมืองมีพนักงานผู้ปกครอง
เมือง คือ
๑. ผู้ว่าราชการเมือง
คือเจ้าเมืองเป็นตำแหน่งข้าราชการชั้นพระยา หรือพระที่แต่งตั้ง
ตามพระราชอัธยาศัยของพระมหากษัตริย์ทรงพระดำริเห็นสมควร
ผู้ว่าราชการเมืองมีหน้าที่บังคับบัญชารับผิดชอบทุกอย่างในเมืองยกเว้นการ
พิพากษาคดี เป็นผู้ตรวจตราให้ข้าราชการดำเนินกิจการให้เป็นไปตามพระราชกำหนด
กฎหมายและคำสั่งของเจ้ากระทรวงรายงานข้อราชการในการทำนุบำรุงหรือแก้ไขข้อ
ขัดข้องในการปกครองเมืองต่อข้าหลวงเทศาภิบาล อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ดูแล
ทุกข์สุขของประชาชนต่างพระเนตรพระกรรณ
๒. กรมเมือง มี ๒ ตำแหน่งคือ
กรมการในทำเนียบอันเป็นตำแหน่งที่มีเงินเดือนได้แก่ ปลัดยกบัตร
ผู้ช่วยราชการ ซึ่งจัดเป็นกรรมการผู้ใหญ่ ๓ ตำแหน่ง คือ จ่าเมือง
(เลขานุการของเมือง) สัสดีแพ่ง (รักษากฎหมาย) ศุภมาตรา (เก็บภาษีอากร)
และกรมการนอกทำเนียบ เป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์ได้แก่
ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิหรือเป็นคหบดีในเมือง
ซึ่งเป็นกรรมการผู้ใหญ่
การปฏิรูปการบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นการปรับหน่วยการปกครองที่มีสภาพและ
ฐานะเป็นตัวแทน (Field) หรือหน่วยงานประจำท้องที่ (Field office)
ของกระทรวงมหาดไทยหรือรัฐบาลในส่วนกลาง
ทั้งนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการปกครองแบบเมืองหลวง เมืองชั้นใน
เมืองชั้นนอก เมืองพระยามหานคร
และเมืองประเทศราชเดิมเพื่อให้ลักษณะการปกครองเปลี่ยนเป็นแบบราชอาณาจักร
(Kingdom)โดยการจัดระเบียบการปกครองให้มีลักษณะที่ลดหลั่นตามระดับการบังคับ
บัญชาจากหน่วยเหนือลงไปถึงหน่วยงานชั้นรองตามลำดับคือ
การจัดรูปการปกครองมณฑลเทศาภิบาล การจัดรูปการปกครองเมือง
การจัดรูปการปกครองอำเภอ การจัดรูปการปกครองตำบล หมู่บ้าน
[7] การจัดการปกครองในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นจนถึงรัชกาลที่ ๕ มีแนวคิดในการปูพื้นฐานการเมืองในเวลาต่อมาดังนี้คือ
๑. พระมหากษัตริย์
ในสมัยนี้ทรงใช้หลักการปกครองผสมผสานระหว่างการปกครองแบบบิดาปกครองบุตรกับ
การปกครองแบบราชาธิปไตยหรือใช้หลักเทวราช
ซึ่งทำให้ผู้ปกครองกับผู้อยู่ภายใต้การปกครองใกล้ชิดกัน
และมีการสร้างความมั่นคงของชาติ
๒.
ศูนย์กลางแห่งอำนาจอยู่ที่เมืองหลวงเมืองหลวงเป็นศูนย์กลางการปกครองทำให้
เข้าหลักเกณฑ์การเป็นรัฐเดี่ยว ไม่ให้ผู้ปกครองหัวเมืองมีอำนาจมากเกิน
มิฉะนั้นจะมีปัญหาในการปกครอง
๓. มีการปรับปรุงการบริหารส่วนกลางโดยใช้กระทรวงกรม
นับเป็นการยอมรับแนวคิดในการบริหารของตะวันตกมาใช้เป็นครั้งแรก
ทำให้เกิดการพัฒนาการปกครองและทำให้การปกครองมั่นคงยิ่งขึ้น
๔. มีการปรับปรุงการบริหารส่วนภูมิภาคเพื่อให้เกิดเอกภาพ
สมารถสร้างความเข้มแข็งให้ส่วนกลางเพราะภูมิภาคยังต้องดำเนินการปกครองตาม
ส่วนกลาง แต่ให้คนไปปกครองในรูป อำเภอ ตำบล มณฑล
ทำให้ข้าราชการเข้าใจและรู้ปัญหาที่แท้จริงของประชาชน
และสามารถหาทางช่วยเหลือปัญหาในบางเรื่องได้ทันท้วงที
๕. จัดให้มีการปกครองส่วนท้องถิ่นแบบสุขาภิบาลขึ้น
การปกครองรูปแบบนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง
ตนเองมากขึ้น
เท่ากับเป็นการปูพื้นความรู้พื้นฐานทางด้านการปกครองแบบประชาธิปไตยนั่นเอง
กล่าวโดยสรุปเรื่องการปกครองในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์
เริ่มมีการติดต่อกับฝรั่ง เพราะศึกระหว่างไทยกับพม่าได้ลดน้อยลงไป
ดังนั้นในสมัยรัชการพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้มีการติดต่อกับอังกฤษและมีการติดต่อมากขึ้นในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในด้านการทหารก็มีการฝึกทหารแบบยุโรปด้วยการว่าจ้าง
ร้อยเอกอิมเปย์และนายทหารอังกฤษอีกหลายคนมาฝึกในด้านพลเรือนมีการปรับปรุง
ศาลและระบบกฎหมายการต่างประเทศ การคมนาคม เป็นต้น
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าข้าราชการได้มีโอกาส
ได้รับการพัฒนามากกว่าประชาชนทั่วไป
ถ้าประชาชนคนใดต้องการที่จะได้รับการพัฒนาก็จะต้องเข้ามารับราชการและศึกษา
พอมาถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์ทรงปฏิรูปการปกครองในปีพ.ศ. ๒๔๓๕ ที่มีการตั้งกระทรวง
จัดการปกครองระบบเทศาภิบาล
ถือเป็นจุดกำเนิดของการปกครองและบริหารราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคตามแนว
คิดตะวันตก ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงใช้บทบาททางทหารมากขึ้น
โดยการส่งทหารไปรบในประเทศยุโรปด้วยการเข้าร่วมกับพันธมิตร
เมื่อกองทัพพันธมิตรได้รับ ชัยชนะ
ประเทศไทยก็สามารถแก้ไขสนธิสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมกับต่างชาติได้
ทำให้ทหารไทยได้รับการยกย่องว่าได้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศ
อย่างไรก็ดี ในสมัยพระบาทสมเด็จ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
จึงทรงปลดข้าราชการให้มีจำนวนน้อยลงเพื่อการประหยัด
ทำให้ข้าราชการโดยเฉพาะทหารไม่พอใจ
ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต่อมาภายหลัง
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้วิกฤติการณ์ทางการเมืองขึ้น
อีก
เพราะสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปลดข้าราชการออกมากขึ้นรวมบรรดานายทหาร
ชั้นนำก็ถูกลดขั้นเงินเดือนด้วย เช่น พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นต้น
เหตุนี้จึงกลายเป็นมูลเหตุสำคัญประการหนึ่ง ในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เมื่อ วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕